วิธีการจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็ก

      ความทรงจำในวัยเยาว์ของฉัน เกี่ยวกับบรรดาคุณครูที่สอนหนังสือฉันมา ทั้งครูที่ฉันเคารพรัก และครูที่ฉันรังเกียจ เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันตัดสินใจประกอบอาชีพเป็นครู
   ฉันมีบัญชีรายการในใจยาวเป็นหางว่าว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำที่ใจร้ายที่ฉันจะไม่มีวันพูดหรือทำกับเด็กนักเรียนของฉันอย่างเด็ดขาด และมีภาพที่ชัดเจนของระดับของความอดทนที่ไร้ขีดจำกัดและความเข้าอกเข้าใจที่ฉันจะพยายามมอบให้กับลูกศิษย์  และตลอดช่วงเวลาที่เรียนในคณะศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ฉันยึดมั่นในแนวคิดที่จะสอนเด็กๆให้พวกเขาเกิดความใฝ่รู้
    แต่ในวันแรกที่ฉันได้เป็นครู “ตัวจริง” กลับกลายเป็นวันที่น่าตกใจ สิ่งที่ฉันได้วางแผนและตระเตรียมไว้มากมายนั้น มีมากพอๆกับสิ่งที่ฉันไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อรับมือกับเด็กๆชั้นประถมหกทั้งสามสิบสองคน เด็กสามสิบสองคนที่โวยวายเสียงดังลั่นห้อง เด็กๆที่เต็มไปด้วยพละกำลังวังชา และมีความต้องการที่ไม่หยุดหย่อน หลังจากเวลาในช่วงเช้าผ่านไปได้เพียงครึ่งทาง ก็มีเสียงดังขึ้นมาในห้อง “ใครขโมยดินสอของฉันไป”... “ออกไปให้พ้นๆหน้าฉันนะ”... “ออกไปให้พ้นๆหน้าฉันนะ”... “เงียบหน่อยสิฉันกำลังพยายามฟังครูพูด”
   ฉันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเหล่านั้นและตั้งหน้าตั้งตาสอนต่อไป แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ “ทำไมผมต้องนั่งติดกับนายคนนี้”... “หนูไม่รู้ว่าทำแก้โจทย์ข้อนี้ได้ยังไง”... “ไอ้หมอนี่มันต่อยหน้าผม”... “เค้าทำหนูก่อน”
     ศีรษะฉันเริ่มมึนตึบ เสียงเด็กๆในห้องเรียนดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันลืมคำมั่นสัญญาของตัวเองถึงเรื่อง “ความอดทนและความเข้าอกเข้าใจ” ไปซะสนิท เด็กๆในชั้นเรียนนี้สมควรจะได้เจอกับครูที่สามารถควบคุมดูแลพวกเขาได้ และฉันก็ได้ยินตัวเองพูดเสียงดังว่า
    “หยุดพูดกันเสียที ไม่มีใครขโมยดินสอของหนูหรอกน่า”
    “หนูต้องนั่งข้างเพื่อนคนนี้ตามที่ครูบอก”
            “ครูไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน ครูต้องการให้พวกเธอ หยุด เดี๋ยวนี้”
           “ที่เธอบอกว่าไม่เข้าใจโจทย์ หมายความว่าไง ครูเพิ่งอธิบายหยกๆ”
           “ครูไม่อยากเชื่อเลย พวกเธอทำตัวยังกับเด็กนักเรียน ป.1นั่งนิ่งๆกันบ้างได้มั้ย”
  เด็กชายคนหนึ่งไม่สนใจฉัน เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่เครื่องเหลาดินสอแบบหมุนที่หนี้ห้องและยืนเหลาดินสอจนแหลมเปี๊ยว ฉันออกคำสั่งน้ำเสียงหนักแน่น “หยุดได้แล้ว ไปนั่งที่เดี๋ยวนี้”
            “ครูสั่งให้ผมทำโน่นทำนี่ ไม่ได้หรอก” เด็กชายพูด
            “เดี๋ยวครูจะขอคุยกับเธอหลังเลิกเรียนนะ”
             “ผมอยู่ต่อไม่ได้ครับ ผมต้องรีบขึ้นรถเมล์กลับบ้าน”
            “ถ้าอย่างนั้น ครูจำเป็นต้องเชิญพ่อแม่ของเธอมาคุยกับครู”
           “ครูโทหาพ่อแม่ผมไม่ได้หรอกครับ ที่บ้านผมไม่มีโทรศัพท์”
          เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสามโมงเย็น ฉันก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง พวกเด็กๆวิ่งพรวดพราดออกห้องและกรูไปที่ถนนใหญ่ พวกเขายังมีแรงเหลือเฟือ เวลานี้เด็กๆได้กลับสู่อ้อมอกของพ่อแม่ของพวกเขา และเวลาของฉันหมดลงแล้ว
       ฉันทิ้งตัวลงนั่งและจ้องมองบรรดาโต๊ะที่ว่างเปล่า มันต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ๆ ทำไมพวกเด็กๆไม่ยอมเชื่อฟังฉันเลย แล้วนี่ฉันควรจะทำตัวอย่างไร เด็กๆถึงจะยอมรับและเชื่อฟังฉันล่ะ!
     รูปแบบการสอนหนังสือในแต่ละวันช่วงเวลาสองสามเดือนแรกค่อนข้างซ้ำซากจำเจ เริ่มจากช่วงเช้าที่ฉันจะเริ่มต้นการสอนด้วยความหวังที่เต็มเปื่ยม และจบการสอนด้วยความรู้สึกที่แสนเบื่อหน่ายในช่วงบ่าย เมื่อมันเป็นการสอนที่ได้แต่ดันทุรังให้จบๆ ไปตามหลักสูตรของโรงเรียน แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่าทุกๆ เรื่องก็คือ ฉันกลายเป็นครูประเภทที่ฉันไม่เคยต้องการจะเป็นเลย ทั้งเจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียว จู้จี้ และใจแคบและลูกศิษย์ของฉันกลายเป็นเด็กที่มีอารมณ์ขุ่นมัวและแสดงความดื้อดึงมากกว่าเดิม เมื่อเวลาล่วงไป ฉันเริ่มย้อนมองดูตัวเองละอดสงสัยไม่ได้ว่าฉันจะทนต่อสถานการณ์เช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน
   เจน ดาวิส ครูประจำชั้นห้องเรียนติดกันได้มาช่วยฉันไว้หลังจากที่ฉันเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เธอฟัง วันรุ่งขึ้นเจนแวะมาหาฉันที่ห้องเรียนและนำหนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่ชื่อ “HOW  TO  TALK  SO  KIDS  WILL  LISTEN…พูดกับลูกอย่างไร ให้เขาเชื่อฟัง...ฟังลูกพูดอย่างไร ให้เขาเล่มนี้ไว้ให้...” “ฉันไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยคุณได้รึเปล่านะ” เจนพูด “แต่ทักษะวิธีการต่างๆในทักษะวิธีการต่างๆในหนังสือเล่มนี้ช่วยฉันเรื่องการใช้เหตุผลกับลูกๆที่บ้าน และยังได้ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในชั้นของฉันด้วย
    ฉันกล่าวคำขอบคุณ และเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ในกระเป๋าเอกสารแล้วลืมมันไปเลย หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ขณะที่กำลังนอนพักรักษาตัวจากอาการไข้หวัด ฉันก็หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาและเปิดอ่านด้วยความขี้เกียจฉันเห็นคำพูดที่เป็นอักษรตัวเข้มในบทแรกๆปรากฏเด่นชัดออกมา
  -  เมื่อเด็กรู้สึกว่าอย่างไร เขาก็แสดงออกมาอย่างนั้น!
  - เมื่อเด็กรู้สึกดี เขาก็จะประพฤติตัวดี!
 - แล้วเราวจะช่วยให้พวกเขารู้สึกดีได้อย่างไร!
 - ก็โดยการยอมรับความรู้สึกของพวกเขา!
  ฉันเอนตัวนอนและหลับตาลงทั้งสองข้าง แล้วนึกย้อนถามตัวเองว่าเคยยอมรับความรู้สึกนึกคิดของพวกเด็กนักเรียนหรือไม่ ในหัวของฉันนึกถึงคำพูดโต้ตอบของตัวเองกับเด็กๆในช่วงสัปดาห์นั้น
  นักเรียน: “หนูเขียนเรียงความไม่ได้คะ คุณครู”
  ฉัน:         “ไม่จริงหรอกจ๊ะ”
นักเรียน:  “แต่หนูคิดหัวข้อที่จะเขียนไม่ออกค่ะ”
ฉัน“ได้สิจ๊ะหนูทำได้ เลิกบ่นกระปอดกระแปด แล้วลงมือเขียนซะที”
นักเรียน: “ผมเกลียดวิชาประวัติศาสตร์ครับ ใครจะไปสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว”
ฉัน: “เธอควรจะสนใจนะจ๊ะ ประวัติศาสตร์ของประเทศเป็นสิ่งสำคัญนะ”
นักเรียน: “วิชานี้น่าเบื่อฮะ”
ฉัน: “ไม่หรอกจ๊ะ ถ้าเธอให้ความใส่ใจ เธอจะพบว่าวิชานี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว”
    มันช่างขัดแย้งกันสิ้นดี  ฉันเป็นครูที่คอยพร่ำสอนลูกศิษย์ในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ว่าเด็กๆสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของพวกออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อไรก็ตามที่เด็กๆพูดแสดงความรู้สึกออกมา ฉันกลับเพิกเฉยต่อความรู้สึกเด็กๆและโต้เถียงกับพวกเขาสิ่งที่ฉันสื่อกับนักเรียนคือ “เธอมีความผิดในสิ่งที่เธอกำลังรู้สึก จงฟังครูและเชื่อในสิ่งที่ครูพูดเถิด”
     ฉันนั่งบนเตียงและพยายามระลึกถึงเรื่องราวในอดีตว่าครูของฉันได้เคยกระทำสิ่งเหล่านี้ต่อฉันหรือไม่ มีอยู่ครั้งหนึ่งในสมัยที่ฉันกำลังเรียนหนังสือมัธยม ฉันมีความทุกข์ใจเหลือเกินที่สอบตกเป็นครั้งแกในชีวิต ครูวิชาคณิตศาสตร์พยายามพูดให้กำลังใจฉัน “ลิซ เธอไม่ต้องเสียใจไปหรอก มันไม่ใช่เธอขาดทักษะวิชาเรขาคณิตหรอกนะ เธอแค่ยังไม่รู้จักประยุกต์ใช้เท่านั้นเอง  เธอต้องตั้งใจว่าเธอจะทำให้ได้ ปัญหาของเธอ ก็คือเรื่องทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเองเท่านั้น
   ครูอาจจะพูดถูกและฉันรู้ว่าครูเจตนาดี แต่คำพูดของครูทำให้ฉันรู้สึกโง่และไม่ดีพอ มีอยู่ชั่งขณะหนึ่งที่ฉันไม่ได้ฟังครูพูดเลย ฉันมัวแต่มองหนวดของครูที่ขยับขึ้นขยับลงจนครูพูดจบ แล้วฉันจะได้อยู่ห่างๆครูเสียที ซึ่งนั่นคงเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์กำลังรู้สึกต่อฉันในขณะนี้เช่นกัน
    ในช่วงเวลาสองสามสัปดาห์ต่อมา ฉันพยายามตอบสนองต่อตามความรู้สึกของเด็กนักเรียนให้มากขึ้น และพยายามสะท้อนของพวกเขาให้ถูกต้อง
   “การเลือกหัวข้อเรียงความ ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆเลยสินะ”
“ครูเข้าใจว่าหนูรู้สึกอย่างไรต่อวิชาประวัติศาสตร์ หนูกำลังสงสัยใช่ไหมว่าทำไมใครต่อใครถึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต”
   และความพยายามของฉันก็บังเกิดผล เห็นได้ทันทีเลยว่าพวกเด็กๆรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง พวกเขาพยักหน้า สบสายตา และพูดคุยกับฉันมากขึ้น แต่แล้วหลังจากนั้นวันหนึ่ง เด็กนักเรียนชื่อ อเล็กซ์ ประกาศก้องว่า “ผมไม่ต้องการไปโรงยิม และไม่มีใครบังคับผมได้” ในใจฉันคิดแต่ว่า พอกันที ฉันไม่ทนอีกแล้ว และไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะพูดตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “อเล็กซ์ เธอจะไปโรงยิมหรือจะไปพบครูใหญ่”
    ทำไมมันเป็นถึงเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะยอมรับความรู้ของพวกเด็กๆนะในขณะพักทานข้าวกลางวัน ฉันได้ถามคำถามเดียวกันนี้ที่โต๊ะอาหาร และเล่าให้เจนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันและครูคนอื่นๆที่โต๊ะฟังถึงเรื่องราวที่ฉันได้อ่านพบจากหนังสือและความคิดของฉัน
   มาเรีย เอสเทส์ ผู้ปกครองที่มาช่วยงานเป็นอาสาสมัคร รีบออกตัวแก้ต่างแทนครูทุกคน เธอกล่าวว่า “ก็มันมีเด็กๆในห้องเรียนตั้งหลายคน เนื้อหาที่ต้องสอนก็มีอยู่มายมาย คุณจะไปตั้งความคาดหวังในตัวคุณเอง ให้มาคอยนั่งกังวลใจต่อทุกๆคำพูดของตัวเองได้อย่างไร
  เจนดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่  เธอพูดว่า “บางที ถ้าผู้ใหญ่ในชีวิตของเราให้ความใส่ใจสักหน่อยต่อคำพูดของพวกเขา เราคงไม่ต้องมานั่งแก้ไขความเข้าใจผิดๆอย่างในวันนี้ ยอมรับความจริงเถอะพวกเราเองเป็นผลพวกจากในอดีต พวกเราพูดคุยกับนักเรียนของเราในแบบที่พ่อแม่และครูเคยพูดกับเรา ฉันรู้ว่า แม้แต่กับลูกๆบ้าน ฉันก็ใช้เวลานานกว่าจะเลิกพูดคำพูดบทเดิมๆมันนับเป็นการการก้าวกระโดที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉัน ที่สามรถเปลี่ยนวิธีการพูดจาก รอยถลอกแค่นี้ไม่เจ็บหรอก มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เปลี่ยนเป็น แผลถลอกนั่นเจ็บน่าดูเลยนะ”
    เคน วัตสัน ครูสอนวิชาวิทยาศาตร์ทำหน้างุนงง “ผมพลาดประเด็นสำคัญอะไรไปรึเปล่าครับ” เคนถาม “ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย”
   ฉันคิดหนัก และหวังว่าจะมีตัวอย่างที่สามารถทำให้เคนเข้าใจถึงความแตกต่างนั้นได้ ในขณะนั้น ฉันได้ยินเสียงเจนพูดว่า “เคน ลองจินตนาการว่าคุณยังเป็นเด็กวัยรุ่นและเพิ่งจะได้เข้าร่วมทีมกีฬาของโรงเรียน จะเป็นบาสเกตบอล ฟุตบอล หรือกีฬาอะไรก็ได้”
   เคนยิ้ม “ฟุตบอล” เขาตอบ
  “ตกลงค่ะ” เจนพูดและพยักหน้า “ตอนนี้ลองจินตนาการว่าคุณกำลังข้าร่วมซ้อมกีฬากับทีมเป็นครั้งแก คุณมีใจที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น ครูฝึกเรียกหาคุณและบอกว่าคุณถูกคัดชื่อออกจากทีม”
  เคนร้องคราง
“ต่อจากนั้น” เจนพูดต่อ “คุณพบครูประจำชั้นที่โถงทางเดินและบอกครูถึงเรื่องที่เพิ่งถึงจะเกิดขึ้น เอาล่ะ ลองสมมุติว่าฉันเป็นครู ฉันมีวิธีโต้ตอบได้หลาอย่าง ลองเขียนสิ่งที่ เด็กคนที่อยู่ข้างในตัวคุณ รู้สึกนึกคิดต่อการตอบโต้แต่ละอย่าง เคนยิ้มยิงฟัน หยิบปากกาออกมาและเขียนลงบนกระดาษทิชชู่
  และนี่เป็นการโต้ตอบหลายรูปแบบที่ เจน ทดลองกับ เคน
-                   แบบ “ปฏิเสธความรู้สึก”
“มันไม่มีเรื่องอะไรต้องมานั่งเสียอกเสียใจหรอกนะ โลกนี้ยังไม่แตกเป็นเสี่ยงเพียงเพราะเธอไม่ได้เข้าร่วมทีม ลืมๆมันไปเสียเถอะ”
-                   แบบ “นักปรัชญา”
“ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่ความยุติธรรมเสมอไป เธอต้องหัดเรียนรู้วิธีการรับมือเรื่องทำนองนี้บ้าง
-                   แบบ “ให้คำแนะนำ”
“อย่ายอมให้เรื่องแค่นี้ทำให้เธอเกิดความท้อแท้ ลองสมัครเข้าทีมกีฬาอื่นดูนะ”
-                   แบบ “ตั้งคำถาม”
“เธอคิดว่าทำไมถึงโดนคัดออกจากทีม คนอื่นในทีมเก่งกว่าเธอรึเปล่า แล้วตอนนี้เธอจะไปทำอะไรล่ะ
-                   แบบ “แก้ต่างแทนคนอื่น”
“ลองคิดจากมุมมองครูฝึกสิ ครูเขาต้องการให้ทีมได้ชัยชนะ มันเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียวที่จะเลือกให้ใครอยู่หรือใครไป”
-                   แบบ “เสียอกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“โอ้ น่าสงสารจริงๆ ครูรู้สึกเสียใจแทนเธอจัง เธอได้พยายามอย่างหนักเพื่อเข้าร่วมทีม แต่เธอคงจะไมเก่งพอ ป่านนี้เพื่อนๆคงรู้ข่าวกันหมดแล้ว ครูพนันว่าเธอคงรู้สึกขายหน้าแทบตาย”
-                   แบบ “จิตแพทย์สมัครเล่น”
“เธอเคยพิจารณาถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เธอถูกคัดออกจากทีม ว่าเป็นเพราะใจของเธอไม่อยู่กับการฝึกซ้อมเปล่า ครูคิดว่าในระดับจิตใต้สำนึกแล้ว เธอคงไม่ต้องการอยู่ในทีม ดังนั้นเธอจึงรู้สับสนกับเป้าหมายที่กำลังต้องการ”
เคนยกมือขึ้น “หยุด พอแล้ว ผมเข้าใจแล้วครับ”
ฉันถามเคนว่าจะขอดูข้อความที่เขาเขียนได้ไหม เคนยื่นกระดาษทิชชู่นั่นมาให้ฉัน ฉันอ่านออกเสียงดัง
-                   “อย่ามาบอกฉันว่าต้องรู้สึกอย่างนั้นรู้สึกอย่างนี้”
-                   “อย่ามาบอกให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไร”
-                   “ครูไม่มีวันเข้าใจ”
-                   “ครูก็รู้คำตอบอยู่แล้วแล้วจะถามไปทำไม
-                   “ครูก็ดีแต่เข้าข้างคนอื่น ยกเว้นฉัน”
-                   “ฉันมันไอ้ขี้แพ้”
-                   “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเล่าเรื่องต่างๆให้ครูฟัง”
 “โอ้ ไม่นะ” มาเรียกอุทาน “หลายๆประโยคที่เจนเพิ่งพูดกับเคนฟังดูเหมือนกับที่ฉันพูดกับเคนฟังดูเหมือนกับที่ฉันพูดกับมาโก้ลูกชายของฉันไม่มีผิด แล้วอันที่จริงเราควรจะพูดยังไงล่ะ”
 “ยอมรับในความรู้สึกทุกข์ใจของเด็ก” ฉันตอบอย่างรวดเร็ว
“ทำยังไงล่ะ” มาเรียถาม
   ไม่มีคำตอบออกมาจากปากฉัน ฉันมองหาเจนให้ช่วยตอบไปทางเคนและจ้องหน้าเขา “เคน” เจนพูด “การค้นพบว่าตัวเธอถูกคัดออกจากทีมที่เธอมั่นใจเหลือเกินว่าเธอสมควรอยู่ในทีมนั้น คงเป็นเรื่องน่าตกใจและน่าผิดหวังครั้งใหญ่เลยสินะ”
     เคนพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องจริง” เขาพูด “มันเป็นเรื่องน่าตกใจและน่าผิดหวัง และผมรู้สึกโล่งกเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีคนเข้าใจความจริงข้อนี้”
   พวกเขาทั้งหมดมีอะไรอีกมากมายที่จะคุยต่อจากนั้น มาเรียเปิดเผยความลับของเธอต่อพวกเราว่า ตอนเด็กๆไม่เคยมีใครยอมรับความรู้สึกของเธอเลย เคนถามว่า “พวกเราจะให้นักเรียนได้รับในสิ่งที่พวกเราไม่เคยได้รับได้ยังไง”
   พวกเราเห็นพ้องกันว่าจำเป็นต้องมีแบบฝึกหัดเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิธีการพูดแบบใหม่ที่พวกเราควรใช้โต้ตอบกับพวกเด็กๆ ฉันรับอาสาเป็นคนนำตัวอย่างแสดงวิธีการยอมรับความรู้สึกของเด็กที่โรงเรียนมาให้กับทุกคน ในเวลาสองสามวันถัดมา ฉันก็นำตัวอย่างที่ทำเป็นรูปการ์ตูนให้เพื่อนๆที่ทานข้าวเที่ยงด้วยกันดู
 







     


  



11 ความคิดเห็น:

  1. ให้ข้อคิดมากค่ะ

    ตอบลบ
  2. ให้ข้อคิดมากค่ะ

    ตอบลบ
  3. ได้ประโยชน์มากๆ^^

    ตอบลบ
  4. สาระดี มีประโยชน์

    ตอบลบ
  5. เนื้อหาดีมากค่ะๆ









    ตอบลบ
  6. ให้ข้อคิดดีมากจ้ะ

    ตอบลบ